แนวทางการพัฒนา Low-code Platform และ No-code Platform

ทุกวันนี้ หลายธุรกิจประสบปัญหา โดยเฉพาะเรื่อง Developer ขาดแคลน หรือลาออกแล้วไม่มีคนดูแลระบบอย่างต่อเนื่อง เลยมีการนำเทคโนโลยี low-code platform หรือ no-code platform มาใช้งาน แต่การพัฒนาระบบ low-code หรือ no-code platform นั้นมีขั้นตอนสำคัญอยู่หลายข้อซึ่งไม่ได้ง่ายนัก แต่วันนี้เราก็ได้รวบรวมขั้นตอนโดยทั่วไปมาให้ทุกคนลองดูกันแล้วค่ะ:

1. กำหนดขอบเขตุและเป้าหมาย: กำหนดขอบเขตุและเป้าหมายของแพลตฟอร์ม low-code ให้ชัดเจน กำหนดว่าแอปพลิเคชั่นแบบไหนที่เราจะทำการซัพพอร์ต และแพลตฟอร์มของเราควรจะมีฟังก์ชันอะไรบ้าง รวมถึงควรระบุ target audience และสิ่งที่พวกเขาต้องการให้แน่ชัด 

2. ทำการรีเสิร์ชและการวิเคราะห์: ทำการค้นคว้าอย่างละเอียดและทำความเข้าใจในเรื่องของฟีเจอร์, จุดแข็ง, และข้อจำกัดของ low-code platform ที่มีอยู่ในตลาดของเจ้าอื่น ๆ และควรวิเคราะห์ตลาดเพื่อการที่เราจะสามารถระบุช่องว่างและโอกาสสำหรับการสร้างความแตกต่าง 

3. สถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน: ออกแบบสถาปัตยกรรมและโครงสร้างพื้นฐานสำหรับแพลตฟอร์ม low-code ของตัวเอง ทำการตัดสินใจว่าเราจะเริ่มทำจากศูนย์หรือใช้งานเฟรมเวิร์คและเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว โดยปัจจัยที่เราควรคำนึงถึงคือความสามารถในการปรับขนาด (scalability), ความปลอดภัย, และความสามารถในการขยาย (extensibility)

4. Visual Interface Builder: พัฒนา visual interface builder ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถออกแบบแอปพลิเคชั่นได้โดยการใช้วิธีการอย่าง drag-and-drop หรือ visual programming ซึ่งควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ user-friendly สำหรับการสร้างสรรค์และการปรับแต่ง user interface, เวิร์กโฟลว, และโมเดลข้อมูล 

5. การผสานเข้ากับ Backend: จัดทำกลไกเพื่อการผสานเข้ากับระบบ backend และฐานข้อมูล และจัดหาตัวเชื่อมต่อและ API เพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการสื่อสารกับระบบภายนอกที่ราบรื่น 

6. Component Library: สร้าง library ของ component และ template ที่สร้างไว้ล่วงหน้าที่ทำให้ผู้ใช้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เพื่อการเร่งการพัฒนาแอปพลิเคชัน ซึ่งนี่รวมไปถึงส่วนประกอบ UI ต่าง ๆ , ตัวเชื่อมต่อข้อมูล, logic module, และขั้นตอนทางธุรกิจที่ได้ทำการกำหนดค่าไว้ล่วงหน้าแล้ว

7. กลไก Logic และ Workflow: สร้างกลไก logic และ workflow ที่ช่วยให้ผู้ใช้กำหนดกฏทางธุรกิจ, logic flow, และระบบอัตโนมัติได้ กลไกนี้ควรรองรับกระบวนทัศน์การโปรแกรมต่าง ๆ อย่าง visual programming, scripting, หรือ configuration แบบ declarative ที่ rule-based

8. การทดสอบและการ Debug: ใช้ tool ทดสอบและ debug ที่มีประสิทธิภาพภายในแพลตฟอร์ม low-code ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์อย่างการทดสอบยูนิต, สภาพแวดล้อม simulation, และการติดตามข้อผิดพลาดเพื่อให้นักพัฒนาระบุและแก้ไขปัญหาได้

9. การปรับใช้และสภาพแวดล้อม Runtime: สร้างเฟรมเวิร์คการปรับใช้ที่ช่วยให้การปรับใช้ของแอปพลิเคชั่นที่ถูกสร้างในแพลตฟอร์ม low-code เป็นไปได้โดยง่าย นี่อาจรวมถึงการทำคอนเทนเนอร์ (containerization), การโฮสต์บนคลาวด์, หรือตัวเลือกการปรับใช้อื่น ๆ และจะต้องพัฒนาสภาพแวดล้อม runtime environment ที่ช่วยในเรื่องของความสามารถในการปรับขนาดและประสิทธิภาพการทำงานของแอปพลิเคชั่น

10. การทำงานร่วมกันและการควบคุมเวอร์ชั่น: เราควรจะมีฟีเจอร์การทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานหลายคนสามารถทำงานบนแอปพลิเคชั่นเดียวกันพร้อมกันได้ ทำการใช้กลไกการควบคุมเวอร์ชั่นเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลง, ทำการย้อนกลับการแก้ไข, และจัดการเวอร์ชั่นของแอปพลิเคชั่น

11. การทำเอกสารและการซัพพอร์ต: จัดทำเอกสารที่เข้าใจง่าย, วิธีใช้งาน, และคู่มือผู้ใช้เพื่อช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและสามารถใช้แพลตฟอร์ม low-code platform ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรสร้างระบบซัพพอร์ตเพื่อจัดการข้อสงสัยและปัญหาของผู้ใช้ได้อย่างทันที

12. การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง: เราควรคอยตามรวบรวมฟีดแบคเป็นประจำและทำซ้ำบนแพลตฟอร์มโดยอิงจากความต้องการและเทรนด์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ประจำ และควรคอยปรับปรุงฟีเจอร์, แก้ไขบั๊ก, และเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้แพลตฟอร์มเพื่อพัฒนาการใช้งานและมูลค่าของแพลตฟอร์ม 

การพัฒนาแพลตฟอร์ม low-code นั้นจะต้องใช้ความรู้ด้าน software development, การออกแบบ user experience, และการผสานระบบเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงควรจะต้องมีทีมพัฒนาที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นไปตามที่คาดหวัง

ทุกวันนี้มี Low-code, No-code Platform เกิดขึ้นมาก และส่วนใหญ่จะให้บริการในรูปแบบ Subscription บางค่ายอาจจะแพงไปสำหรับคนไทย อาจต้องลองคำนวนจุดคุ้มทุนที่จะนำ Platform นี้มาใช้ในองค์กรค่ะ  

โดยทางเราก็ได้รวบรวมแพลตฟอร์ม low-code และ no-code ที่เป็นที่นิยมกันในตลาดมาให้แล้วค่ะ:

1. Bubble: Bubble เป็นแพลตฟอร์ม visual programming ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ไม่ต้องใช้การโค้ดดิ้ง โดยแพลตฟอร์มนี้มีอินเตอร์เฟซ drag-and-drop และฟีเจอร์ built-in มากมาย

2. OutSystems: OutSystems เป็น low-code development platform ที่ช่วยเรื่องของการสรรค์สร้างเว็บและแอปพลิเคชั่นมือถือระดับองค์กรได้ โดยมีเครื่องมือพัฒนาภาพและส่วนประกอบที่สร้างไว้ล่วงหน้าสำหรับการพัฒนาแอปพลิเคชั่นอย่างรวดเร็ว 

3. Mendix: Mendix เป็น low-code platform ที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างเว็บและแอปพลิเคชั่นมือถือโดยใช้แบบจำลองภาพและส่วนประกอบที่สร้างไว้ล่วงหน้า และยังมีฟีเจอร์อย่างการออกแบบอินเตอร์เฟซแบบ drag-and-drop, การสร้างแบบจำลองข้อมูล, และการปรับใช้ในคลิกเดียว 

4. Power Apps: Power Apps ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft Power Platform เป็น low-code development platform ที่ทำให้ผู้สามารถสร้างแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่กำหนดเองได้ โดยมีตัวออกแบบภาพและตัวเชื่อมต่อที่หลากหลายาสำหรับการผสานกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ

5. AppSheet: AppSheet ซึ่งถูกซื้อโดย Googleเป็น no-code platform ที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างแอปพลิเคชั่นเว็บและมือถือได้โดยใช้แหล่งข้อมูลอย่าง Google Sheets, Excel, และฐานข้อมูล SQL โดยมีอินเตอร์เฟซที่เรียบง่ายสำหรับการกำหนดตรรกะและพฤติกรรมของแอป

6. Zoho Creator: Zoho Creator เป็นแพลตฟอร์ม low-code ที่ให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชั่นทางธุรกิจโดยไม่ต้องทำการโค้ดดิ้ง โดยมีอินเตอร์เฟซ drag-and-drop, เทมเพลตที่สร้างไว้ล่วงหน้า, และการผสานเข้ากับแอปพลิเคชัน Zoho อื่น ๆ

7. Airtable: Airtable เป็นแพลตฟอร์ม no-code ที่มีการรวมฟีเจอร์ของ spreadsheet กับฐานข้อมูล โดยสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างเวิร์คโฟลวที่กำหนดเอง, ทำงานร่วมกันบนข้อมูล, และสร้างแอปพลิเคชั่นอย่างง่ายได้โดยไม่ต้องทำการโค้ด 

8. Appian: Appian เป็น low-code development platform ที่โฟกัสกับระบบอัตโนมัติทางธุรกิจและการจัดการเวิร์คโฟลว โดยมีเครื่องมือพัฒนาภาพ, engine กฏทางธุรกิจ, และการผสานเข้ากับระบบองค์กร

แต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีฟีเจอร์เฉพาะของตัวเองและกลุ่มลูกค้าแตกต่างกันไป ดังนั้นเราก็ควรจะต้องประเมินสิ่งที่องค์กรของตัวเองต้องการเพื่อที่จะเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมมาใช้งานค่ะ 

About Author